การเลือกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แบบไหนดี
การเลือกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แบบไหนดี
1. ถามความต้องการของตัวเอง ความเสี่ยงที่สามารถรับได้ และระยะเวลาในการลงทุน
วัตถุประสงค์ของการลงทุนของแต่ละคนต่างกัน หากเป็นเงินก้อนที่มีความจำเป็นต่อการใช้จ่ายในอนาคต สามารถรับความเสี่ยงของการขาดทุนเงินต้นได้น้อย ก็ควรลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ หากสามารถรับความเสี่ยงได้สูง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนหุ้น, กองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น
(กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Fundlink MChoice ของ สจล. มีแบบสอบถามความเสี่ยงที่รับได้)
2. ดูแนวโน้มตลาด
ผลตอบแทนการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามราคาของสินทรัพย์ในกองทุน เช่น เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หากคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะสูงขึ้น การลงทุนในกองทุนหุ้น บางช่วงเวลาหุ้นต่างประเทศอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนหุ้นภายในประเทศ บางช่วงเวลาการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่น ทองคำ น้ำมัน ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น
3. เสาะหากองทุนที่ใช่
กองทุนประเภทเดียวกัน แต่ก็มีความหลากหลายในนโยบายการลงทุน เช่น กองทุนหุ้นต่างประเทศ ก็มีการลงทุนในหลายประเทศ เช่น กองทุนหุ้นยุโรป กองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นในประเทศก็มีหลายวัตถุประสงค์ เช่น เน้นลงทุนในหุ้นปันผล กองทุนหุ้นที่ลงทุนในสถาบันการเงิน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นภายใน SET50
4. เปรียบเทียบกองทุน
เมื่อได้รายชื่อของกองทุนที่เราสนใจ ให้เปรียบเทียบนโยบายการลงทุน ดูจากผลการดำเนินงานในอดีตย้อนหลังเปรียบเทียบกับ benchmark เพื่อสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุน ขนาดของกองทุน บริษัทจัดตั้งกองทุนที่มีความน่าเชื่อถือ ซื้อขายง่าย หรืออาจจะดูจากการจัดอันดับกองทุน เช่น จาก Morning Star Fund House ดูค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน
5. เข้าซื้อในเวลาที่เหมาะสม
เข้าซื้อกองทุนหุ้นในช่วงที่หุ้นราคาตกก็ย่อมทำให้เราได้ต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่เพื่อลดความกังวลใจในการหาจังหวะเข้าซื้อกองทุน อาจใช้วิธี DCA (Dollar Cost Averaging) หรือการซื้อถัวเฉลี่ย เช่น แบ่งเงินซื้อกองทุน LTF/RMF ทุกเดือนตลอดทั้งปี (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเราก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว)
1. ถามความต้องการของตัวเอง ความเสี่ยงที่สามารถรับได้ และระยะเวลาในการลงทุน
วัตถุประสงค์ของการลงทุนของแต่ละคนต่างกัน หากเป็นเงินก้อนที่มีความจำเป็นต่อการใช้จ่ายในอนาคต สามารถรับความเสี่ยงของการขาดทุนเงินต้นได้น้อย ก็ควรลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ หากสามารถรับความเสี่ยงได้สูง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนหุ้น, กองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เป็นต้น
(กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Fundlink MChoice ของ สจล. มีแบบสอบถามความเสี่ยงที่รับได้)
2. ดูแนวโน้มตลาด
ผลตอบแทนการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามราคาของสินทรัพย์ในกองทุน เช่น เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น หากคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะสูงขึ้น การลงทุนในกองทุนหุ้น บางช่วงเวลาหุ้นต่างประเทศอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนหุ้นภายในประเทศ บางช่วงเวลาการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อย่างเช่น ทองคำ น้ำมัน ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้น
3. เสาะหากองทุนที่ใช่
กองทุนประเภทเดียวกัน แต่ก็มีความหลากหลายในนโยบายการลงทุน เช่น กองทุนหุ้นต่างประเทศ ก็มีการลงทุนในหลายประเทศ เช่น กองทุนหุ้นยุโรป กองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นในประเทศก็มีหลายวัตถุประสงค์ เช่น เน้นลงทุนในหุ้นปันผล กองทุนหุ้นที่ลงทุนในสถาบันการเงิน กองทุนที่ลงทุนในหุ้นภายใน SET50
4. เปรียบเทียบกองทุน
เมื่อได้รายชื่อของกองทุนที่เราสนใจ ให้เปรียบเทียบนโยบายการลงทุน ดูจากผลการดำเนินงานในอดีตย้อนหลังเปรียบเทียบกับ benchmark เพื่อสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุน ขนาดของกองทุน บริษัทจัดตั้งกองทุนที่มีความน่าเชื่อถือ ซื้อขายง่าย หรืออาจจะดูจากการจัดอันดับกองทุน เช่น จาก Morning Star Fund House ดูค่าธรรมเนียมจัดการกองทุน
5. เข้าซื้อในเวลาที่เหมาะสม
เข้าซื้อกองทุนหุ้นในช่วงที่หุ้นราคาตกก็ย่อมทำให้เราได้ต้นทุนที่ต่ำกว่า แต่เพื่อลดความกังวลใจในการหาจังหวะเข้าซื้อกองทุน อาจใช้วิธี DCA (Dollar Cost Averaging) หรือการซื้อถัวเฉลี่ย เช่น แบ่งเงินซื้อกองทุน LTF/RMF ทุกเดือนตลอดทั้งปี (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของเราก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น